โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
8 สิงหาคม 2556
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้เปิดเผยรายงาน กรณีการชุมนุมปี 2553 ออกมาแล้ว หลังผ่านเหตุการณ์ดังกล่าวไป 3 ปีเศษ อย่างไรก็ตามยังมีข้อน่าสงสัยว่ารายงานฉบับนี้เที่ยงตรงเพียงใด เพราะในกรณีสำคัญอย่างเหตุการณ์ 6 ศพวัดปทุมฯนั้น ได้รายงานว่าผู้เสียชีัวิต"ส่วนหนึ่ง"เกิดจากเจ้าหน้าที่ที่ยิง"ป้องกันตนเอง"จากบุคคลติดอาวุธที่วิ่งหลบหนีเข้าไปในวัดปทุมฯ
ซึ่งเรื่องดังกล่าวขัดกับที่ศาลตัดสินไปเมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมานี้ว่า ในเหตุการณ์ดังกล่าวไม่มีกองกำลังติดอาวุธ หรือ"ชายชุดดำ"ตามรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติแต่อย่างใด
ทั้งนี้รายงานบางตอน มีดังต่อไปนี้
ประเด็นที่ต้องพิจารณามีว่า กรณีมีผู้เสียชีวิต ๖ ศพ และการกระทำในรูปแบบอื่นๆในและบริเวณวัดปทุมวนารามฯ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ มีการกระทำาหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ อย่างไร
เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ เวลาประมาณ ๐๖.๐๐ น. รัฐบาลโดยศอฉ.ได้ปฏิบัติการที่เข้มข้นขึ้น จนถึงเวลาประมาณ ๑๓.๓๐ น. แกนนำกลุ่มนปช.ได้ประกาศยุติการชุมนุม แล้วจากนั้น ได้มีการเผาอาคารศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ต่อเนื่องไปถึงศูนย์การค้าบิ๊กซี และเหตุการณ์การยิงปะทะกันทั้ง ๒ ฝ่าย ระหว่าง
เจ้าหน้าที่ทหารและกลุ่มบุคคลติดอาวุธก็ยังมีการยิงต่อเนื่องถึงเวลา ๑๘.๓๐ น. โดยมีการยิงปะทะกันโดยรอบนอกบริเวณวัดปทุมวนารามฯ และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการได้ทำการปฏิบัติการควบคุมสถานการณ์บริเวณรางรถไฟฟ้าหน้าวัดปทุมวนารามฯ ซึ่งมีกลุ่มบุคคลติดอาวุธวิ่งหลบหนีไปมาและหลบเข้าไปในวัดปทุมวนารามฯแ ล้วยิงอาวุธใส่เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จึงมีความจำเป็นต้องป้องกันตนเอง
จากสถานการณ์การยิงปะทะกันในบริเวณพื้นที่ชุมนุม และพื้นที่โดยรอบ ในสภาพการบ้านเมืองที่ยังวุ่นวายไม่สงบดังกล่าว ปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิต ๖ ศพ และบาดเจ็บ ๗ คน บริเวณวัดปทุมวนารามฯ ซึ่งการสูญเสียชีวิตดังกล่าวทั้ง ๖ ศพ ปรากฏจากการรวบรวมหลักฐานในชั้นนี้ ทั้งพยานเอกสาร พยานวัตถุ และพยานบุคคลที่มีความสอดคล้องกันว่า จากลักษณะทิศทางของกระสุนที่ปรากฏบนศพบางศพ มีลักษณะถูกยิงจากบนลงล่าง
ซึ่งน่าจะสันนิษฐานได้ว่า ผู้ยิงอยู่ในตำาแหน่งที่สูงกว่า และเมื่อประกอบกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่า มีเจ้าหน้าที่ทหารปฏิบัติหน้าที่อยู่บนรางรถไฟฟ้าหน้าวัดปทุมวนารามฯ รวมถึงภาพถ่ายร่องรอยกระสุนปืนบนรถยนต์และพื้นถนนภายใน วัดปทุมวนารามฯ จึงน่าเชื่อได้ว่าความเสียหายกรณีการเสียชีวิตและบาดเจ็บนั้น ส่วนหนึ่งย่อมเกิดขึ้นจากการกระทำาของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติการกระชับพื้นที่ในที่เกิดเหตุบริเวณวัดปทุมวนารามฯในวันดังกล่าว
อนึ่ง เมื่อมาตรการที่รัฐบาลกำหนดปฏิบัติการนั้นเป็นกรณีจำเป็นสมควรตามกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติได้เกิดความเสียหายขึ้นแล้ว และความเสียหายนั้นเกิดจากสถานการณ์ ยิงปะทะที่วุ่นวายระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับผู้ติดอาวุธที่แฝงตัวในที่ชุมนุม ความเสียหายส่วนหนึ่งย่อมอาจเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย การดำเนินการดังกล่าวของรัฐบาลจึงส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย
ซึ่งรัฐมีหน้าที่ในการประกันและคุ้มครองดูแล แต่กลับไม่สามารถมีมาตรการหรือใช้วิธีการในการประกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลได้ รัฐบาลจึงไม่อาจปฏิเสธการที่จะต้องเยียวยาชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นดังกล่าวแก่ผู้บาดเจ็บและครอบครัวของผู้บาดเจ็บที่พิการและครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว ไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเกิดแก่ผู้ชุมนุม ประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะรัฐบาลมีหน้าที่ในการให้หลักประกันในการคุ้มครองชีวิตร่างกายบุคคลในรัฐ เพื่อให้อยู่ได้อย่างปลอดภัยมั่นคง ไม่ว่าความเสียหายนั้นจะได้เกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบของผู้ปฏิบัติหน้าที่ก็ตาม
ซึ่งนอกจากรัฐบาลมีหน้าที่ต้องเยียวยาความ เสียหายที่เกิดขึ้นในครั้งนี้แล้ว รัฐบาลยังมีหน้าที่ในการที่จะต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริงและหา ผู้กระทำาผิดมาดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งตรวจสอบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้หนึ่ง ผู้ใดหรือไม่ที่ได้กระทำาการเกินขอบเขตของมาตรการที่รัฐบาลโดย ศอฉ. ได้กำาหนดไว้หรือไม่ อย่างไรด้วย
อ่านรายละเอียดทั้งหมดตามลิ้งค์
http://www.nhrc.or.th/2012/wb/img_contentpage_attachment/692_file_name_9897.pdf
***********
ประเด็นดังกล่าวนับว่าขัดกับคำตัดสินศาลในเรื่องนี้ โดยคำตัดสินของศาลมีความดังต่อไปนี้
ไม่มีน้ำหนักที่จะเชื่อถือได้ว่ามีชายชุดดำหรือเสื้อขาวถือ M16
และเมื่อพิจารณาจากจุดตำแหน่งเจ้าพนักงานซึ่งเป็นหน่วยทหารนี้ได้ใช้อาวุธปืนประจำกายยิงไปที่ประตูทางออกด้านในวัด บริเวณเต็นท์ด้านในวัด บริเวณกุฏิพระภายในวัดและกำแพงรั้วด้านนอกวัดบริเวณดังกล่าวอยู่ใกล้กับแนววิถีกระสุน ซึ่งผู้ตายที่ 1 ผู้ตายที่ 3-6 ถูกอาวุธปืนยิงถึงแก่ความตาย ส่วนจ.ส.อ.สมยศ ส.อ.เกรียงศักดิ์ ส.อ.ชัยวิชิต ส.อ.วิทูรย์ ส.อ.ภัทรนนท์ เบิกความว่ามีชาย 4 คนสวมชุดดำ ถืออาวุธปืนยาวบริเวณเสาตอม่อรถไฟฟ้าบีทีเอสด้านหน้าวัดปทุมฯ ยิงมายังเจ้าพนักงาน และมีชายสวมเสื้อสีขาวกางเกงลายพรางสวมหมวกไหมพรมถืออาวุธเอ็ม 16 หลบอยู่ข้างกุฏิวัดภายในวัด พร้อมเล็งมายังเจ้าพนักงานบนรางรถไฟฟ้าดังกล่าว จึงเห็นว่าขณะเกิดเป็นเวลากลางวันและบริเวณดังกล่าวมีผู้สื่อข่าวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาทำข่าวและบันทึกภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่ภาพถ่ายของชายชุดดำหรือบุคคลดังกล่าวมาแสดงแม้แต่ภาพเดียว ทั้งไม่ปรากฏว่ามีเจ้าพนักงานได้รับบาดเจ็บหรือถึงแก่ความตายจากการยิงต่อสู้
นอกจากนี้ยังได้ความจากปากส.อ.สุนทร จันทร์งามและส.อ.เดชาธร มาขุนทด เจ้าพนักงานทหารสังกัดกองพันจู่โจม กรมรบพิเศษที่ 3 ค่ายเอราวัณ เบิกความว่าในวันที่เกิดเหตุประจำการอยู่ที่รถไฟฟ้าบีทีเอสชั้นที่หนึ่ง หน้าวัดปทุม ได้ตอบทนายญาติผู้ตายที่ 1,4 ว่า ขณะที่พยานปฏิบัติหน้าที่ที่บริเวณดังกล่าวไม่มีภัยคุกคามเกิดขึ้นภายในวัดปทุมพยานจึงไม่ได้ใช้อาวุธปืนประจำกายยิง แสดงให้เห็นว่าถอยคำของเจ้าพนักงานทหารขัดแย้งกันเองทั้งที่ประจำการอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ข้อกล่าวหานี้จึงไม่มีน้ำหนักที่จะเชื่อถือได้ว่ามีข้อเท็จจริงเช่นว่านั้น
ข้อเท็จจริงที่เจ้าพนักงานนำสืบว่ามีชายชุดดำถืออาวุธปืนยาวอยู่ภายในวัดปทุมฯแล้วใช้อาวุธปืนยิงมายังเจ้าพนักงานจึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ด้วยพยานหลักฐานของผู้ร้องประกอบด้วยประจักษ์พยาน พยานแวดล้อมกรณี ผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง พนักงานสอบสวน ภาพถ่ายและภาพเคลื่อนไหว เชื่อว่าผู้ตายที่ 1, 3-6 ถึงแก่ความตายเพราะถูกกระสุนปืนของอาวุธปืนความเร็วสูงขนาด .223 หรือ 5.56 มม. จากเจ้าพนักงานซึ่งเป็นทหารสังกัดกองพันจู่โจม กรมรบพิเศษที่ 3 ค่ายเอราวัณ ที่ประจำการอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสชั้นที่ 1 หน้าวัดปทุมวนาราม
ส่วนผู้ตายที่ 2 ได้ความจากพยานยืนยันทำนองเดียวกันว่าพยานได้เข้าไปร่วมชุมนุมตั้งแต่มี.ค. 2553 – 19 พ.ค. 2553 เวลา 13.00 น. แกนนำได้ประกาศยุติการชุมนุม ได้มีการสั่งให้ผู้ชุมนุมเดินทางไปสนามกีฬาแห่งชาติเพื่อขึ้นรถโดยสารประจำทางกลับภูมิลำเนา โดยให้เด็กและคนชราเข้าไปพักในวัดปทุมวนาราม ในขณะนั้นพยานทั้งสามได้เห็นผู้ตายที่ 2 ได้ถูกอาวุธปืนยิง โดยทิศทางกระสุนมาจากบริเวณ ถ.พระราม 1 ทางด้านห้างสรรพพสินค้าสยามพารากอน
แล้วศาลก็ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้นผู้ร้องและญาติผู้ตายที่ 2 จะไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ขณะที่ผู้ตายที่ 2 ถูกยิงด้วยกระสุนปืนจากผู้ใด แต่ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน รวมทั้งประจักษ์พยานยืนยันถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่เกี่ยวกับการตายของผู้ตายที่ 2 อย่างละเอียดทุกขั้นตอนได้อย่างสอดคล้องต้องกัน โดยเริ่มตั้งแต่จุดที่พยานแต่ละคนเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งได้ยินเสียงปืนจากทิศทางแยกเฉลิมเผ่า บนถ.พระราม 1 หน้าห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนกระทั่งถึงตำแหน่งที่ผู้ตายที่ 2 ถูกยิง โดยพยานทุกปากได้เข้าไปช่วยนำผู้ตายที่ 2 เข้าปฐมพยาบาลภายในเต็นท์ โดยเฉพาะพยานปากน.ส.ณัฎฐธิดา ผู้ตายที่ 3 และผู้ตายที่ 6 ช่วยกันปฐมพยาบาลด้วยการปั๊มหัวใจให้กับผู้ตายที่ 2 ก่อนสิ้นใจตายในเต็นท์พยาบาล
ผู้ตายทั้ง 6 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืน
สำหรับการตรวจหาคลาบเขม่าดินปืนของมือผู้ตายทั้ง 6 ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม กับการตรวจของกองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ความจาก พ.ต.ท.วัชรัศมิ์ เฉลิมสุขสันต์ เจ้าหน้าที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เบิกความยืนยันว่า เมื่อวันที่ 20 พ.ค.53 กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ประสานมายังสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ให้มาดูสถานที่เกิดเหตุภายในวัดปทุมฯ แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์กับเจ้าหน้าที่สถาบันฯ ได้เดินทางไปยังวัดปทุมฯ ขณะไปถึงเวลา 8.00 น. เศษ พบศพทั้ง 6 ศพ นอนเรียงอยู่ใกล้ศาลา แต่ละศพมีเสื่อคลุม พยานตรวจสถานที่เกิดเหตุ คลาบโลหิต รวมทั้งตรวจมือของผู้ตายทั้ง 6 เพื่อหาอนุภาคที่มาจากการยิงปืน ซึ่งผลการตรวจนั้นไม่พบอนุภาคที่มาจากการยิงปืนทั้ง 6 ศพ ตามรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุ และรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสาร สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เป็นหน่วยงานราชการหน่วยแรกที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุ ตรวจสภาพศพทั้ง 6 ศพ รวมทั้งจัดเก็บหลักฐานการตรวจเม่าดินปืนบริเวณมือทั้ง 2 ข้างของผู้ตายทั้ง 6 ก่อนหน่วยงานอื่น โดยแสดงถึงวิธีการ จัดเก็บหลักฐานคลาบเขม่าดินปืนดังกล่าวตามหลักการวิทยาศาสตร์ไว้อย่างละเอียด
ดังนั้นผลของการตรวจเขม่าดินปืนที่มือของผู้ตายทั้ง 6 ศพ ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ด้วยหลักฐานจึงเชื่อว่ามือทั้ง 2 ข้างของผู้ตายทั้ง 6 ไม่มีเขม่าดินปืน แสดงว่าผู้ตายทั้ง 6 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืน
จึงมีคำสั่งว่าผู้ตายที่ 1 คือนายสุวัน ศรีรักษา ผู้ตายที่ 2 คือนายอัฐชัย ชุมจันทร์ ผู้ตายที่ 3 คือนายมงคล เข็มทอง ผู้ตายที่ 4 คือนายรพ สุขสถิต ผู้ตายที่ 5 คือ น.ส.กมนเกด อัคฮาด ผู้ตายที่ 6 คือนายอัครเดช ขันแก้ว ถึงแก่ความตายภายในวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 เวลากลางวัน เหตุและพฤติการณ์การตาย สืบเนื่องมาจากถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด .223 หรือ 5.56 มม. ซึ่งวิถีกระสุนปืนยิงมาจากเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส หน้าวัดปทุมวนารามราชวรวิหารและบริเวณถนนพระรามที่ 1 ซึ่งเข้าควบคุมพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. เป็นเหตุให้ผู้ตายที่ 1 มีบาดแผลกระสุนปืนทะลุปอดและหัวใจ เสียโลหิตปริมาณมาก ผู้ตายที่ 2 มีบาดแผลกระสุนปืนทำลายปอด ผู้ตายที่ 3 มีบาดแผลกระสุนปืนทำลายปอด หัวใจ ตับ ผู้ตายที่ 4 มีบาดแผลกระสุนปืนทำลายปอด ตับ ผู้ตายที่ 5 มีบาดแผลกระสุนปืนทำลายสมอง ผู้ตายที่ 6 มีบาดแผลกระสุนปืนทะลุเข้าไปในช่องปาก โดยยังไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ - See more at: http://prachatai3.info/journal/2013/08/48057
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น