บทความที่ดี ๆ จาก อาจารย์ดี ๆ ที่น่ากราบไหว้
ผมชอบสอนหนังสือเพราะเป็นการทำให้เราต้องตื่นตัวตลอดเวลา ต้องหาความรู้ใหม่ ความคิดใหม่ ข้อมูลใหม่ อ่านหนังสือใหม่มาก ๆ แต่ที่สำคัญคือ ได้เจอกับคำถามแปลก ๆ ชนิดตอบยาก เช่น
“อาจารย์ครับ เท่าที่อาจารย์ผ่านมา อาชีพอะไร หรือธุรกิจอะไรที่ต้นทุนต่ำ กำไรเร็ว หรือรายได้ดีที่สุด และทุกคนทำได้ครับ”
ผมก็หัวเราะแล้วก็ตอบว่า ถามเก่งนะ ยังนึกไม่ออกเลย เพราะที่คุณพูดนี่มันธุรกิจในฝัน หรืออาชีพในฝัน เท่าที่ผมทำธุรกิจมายังไม่เจอเลย ส่วนมาก กว่าจะได้ต้องเลือดตากระเด็นทุกอาชีพ ต้องลงทุน ต้องทำงานหนักกว่าจะได้กำไรแต่ละบาท ใช้เวลาหลายปี ธุรกิจที่ว่าน่าจะเป็นธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น ขายยาเสพติด หรือ ประเภทคาบลูกคาบดอกเช่น โรงแรมม่านรูด ฯลฯ ไหนใครนึกได้ช่วยบอกอาจารย์หน่อย อาจารย์จะได้รีบไปทำบ้าง
ผมเกือบตกเก้าอี้ เมื่อนักศึกษาคนหนึ่งชูมือ แล้วบอกว่า “อาชีพ คอรัปชั่นครับ” ไม่ผิดกฎหมายง่ายมาก ต้นทุนต่ำมาก แต่กำไรสูงสุด และทุกคนทำได้ครับ
พอผมตั้งสติได้ บอกให้ทุกคนในห้องปรบมือให้กับคำตอบที่ผมคาดไม่ถึง เพราะไม่นึกว่านี่เป็นอาชีพหรือธุรกิจปกติ แม้ในใจคิดขัดแย้งแต่ก็บอกไปว่า “คุณเก่งมากนะ คิดได้ไง แต่ขอร้องอย่าทำเลยนะม้นบาป เชื่อเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ไหม”
จริงซินะ ถ้าจะบอกว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดทางธุรกิจ “ต้นทุนต่ำ กำไรสูง” อาชีพคอรัปชั่น เข้าเกณฑ์เปี๊ยบเลย และวันนี้ผลการวิจัย คนในประเทศไทยส่วนใหญ่กว่า ๘๐ % ยอมรับว่าเป็นเรื่องปกติในสังคม ยอมรับได้ ไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย ไม่ผิดกฎหมาย (เพราะไม่เคยจับได้สักที หาพยานและเอกสารยาก)และคนที่มีเป้าหมายในอาชีพนี้ชัดเจน คือ นักการเมือง และข้าราชการประจำ ส่วนหนึ่ง ที่มุ่งเป้าในการแสวงอำนาจ แม้กระทั่งลงทุนซื้อตำแหน่ง ซื้อเก้าอี้ ซื้อเสียง เพื่อไปถอนทุนภายหลัง...ใช่เลย
ผมได้แต่ตอบนักศึกษาพร้อมกับหัวเราะว่า นี่เป็นวิชาที่ผมสอนไม่ได้ ไม่มีประสบการณ์ เป็นอาชีพที่กลัวที่สุด เกลียดที่สุด และแม้แต่คิดก็ยังไม่กล้า ทั้งที่ในเส้นทางธุรกิจที่ผ่านมา ล้วนเย้ายวนใจที่สุดเมื่อมีตำแหน่งสูงและมีอำนาจก็จะมีช่องทาง แต่ผมก็เห็นเพื่อนทางธุรกิจของผมเขาทำแบบหน้าตาเฉย ไม่กลัวบาป ไม่อายบาป ผมยอมรับว่าตัวเราขี้ขลาด “ใจไม่ถึง” และก็คิดเหมือนก้น ถ้าทำป่านนี้ผมคงรวยไปนานแล้ว ไม่ต้องลำบากจนแก่หรอก แต่ผมว่าผมอยู่อย่างนี้ พอมีพอกิน มีความสุขดีแล้ว ไปไหนก็ไม่ต้องกลัวใครเขานินทาลับหลัง ไปเจอหน้าใครก็ไม่ต้องสะดุ้งตกใจกลัวใครจะรู้ความลับเข้า
ผมบอกว่า ผมอาจจะถูกสอนมาผิดก็ได้นะ ผมเคยเป็นเสมียนพิมพ์ดีดอยู่ในองค์กรของรัฐบาลอเมริกัน ๗ ปีเต็ม(ตอนนั้นยังไม่มีปริญญา)เป็นแค่เด็กอาชีวะ ทำงานหนัก ได้เงินเดือนดี สุดท้ายได้รับความไว้ใจถูกปรับตำแหน่งเป็นแคชเชียร์เบอร์สองขององค์การ USOMอยู่กับเงินสดๆ ยั่วใจหลายแสนบาท ทุกสองอาทิตย์ ต้องหิ้วกระเป๋าไปเบิกเงินสดเกือบครึ่งล้านบาทจากธนาคารแห่งอเมริกา เพื่อมาใส่ซองจ่ายเงินเดือนทั้งฝรั่งและคนไทย อยู่กับเงินกองใหญ่นั่งนับแบ๊งค์ร้อยสีแดงๆ จนตาลาย นี่เมื่อ ๔๐ กว่าปีที่แล้ว แต่ถูกสอนความซื่อสัตย์ด้วยระบบฝรั่งมาโดยตลอด
มีอยู่วันหนึ่ง โดยหน้าที่ผมต้องสรุปตัวเลขทุกวัน รวบรวมตัวเลขกับเงินสดทั้งหมด ว่าวันนี้มีคนมาเบิกเงินเท่าไร แลกเงินเท่าไร ก็จะนั่งจิ้มเครื่องคิดเลขรวมตัวเลขทุกเย็น แล้วในใจก็ต้องภาวนาเพี้ยง ให้ตัวเลขตรงกัน เพราะถ้าไม่ตรงกันก็ต้องหาใหม่ จะค่ำแค่ไหนก็ต้องหาให้ได้ เพราะหลักบัญชีคือเอกสารกับตัวเงินสดต้องตรงกันทุกวัน
มีอยู่วันหนึ่งผมหาตัวเลขจนเที่ยงคืนก็ไม่เจอ ขาดไปหนึ่งสลึง หาเท่าไรก็ไม่เจอ อาจจะผมกดอัตราแลกเปลี่ยนแล้วปัดเศษผิดก็ได้ ทนไม่ไหว ตัดสินใจควักเงินหนึ่งสลึงของตัวเองแล้วเติมลงไปในเงินสด ก็ออกมาพอดี แต่ในใจนอนไม่หลับเลย ไม่สบายใจเลย เพราะไม่เคยทำมาก่อน
เช้ารุ่งขึ้นตัดสินใจเข้าไปรายงานหัวหน้าซึ่งเป็นแหม่มฝรั่งว่า ผมได้ทำผิดไปนิดหนึ่ง เมื่อคืนไอทำเงินขาดไปสลึงหนึ่งหาไม่เจอ แต่ผมก็เติมไปแล้ว ปรากฏว่าเธอตกใจมาก บอกยูทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ยังไงก็ต้องหาจนเจอ ถ้าไม่เจอจริงๆ ก็อย่าเอาเงินใส่ลงไป ให้เขียนในรายงาน และสันนิษฐานว่าเกิดจากอะไร จากการบวกผิด หรือทอนผิด แต่อย่าทำอย่างนี้นะ แรกๆ ผมก็ฟังแล้วไม่เข้าใจ เพราะนี่มันเงินผมเองนี่นะ ไม่น่าจะเป็นอะไร แต่เธอก็ถามคำถามที่ทำให้ผมใจหายวาบว่า
“กลับกัน มานิต ถ้าเงินเกินอยู่หนึ่งสลึง แล้วยูก็หาไม่เจอ หาเท่าไรก็ไม่เจอ ยูจะหยิบออกไหม” ผมก็นิ่งอึ้ง สมองแล่นปุ๊บ ใช่จริงด้วย ถ้าผมหยิบออก ก็แปลว่า ผมโกงเงินองค์กรนั่นเอง แม้จะเป็นแค่สลึงเดียว ผมว่าเป็นคำตอบที่ชัดแจ้งไม่ต้องอธิบายอีกและเป็นการสอนแบบอเมริกันที่ผมจำติดตัวไปตลอดชีวิต
เธอบอกว่า กว่าที่เขาจะเลือกตัวยูมาจากเสมียนพิมพ์ดีด เลื่อนให้เป็นพนักงานบัญชี และสุดท้ายให้เข้าห้องแคชเชียร์ได้ แปลว่า เขาดูยูมานานเป็นปีแล้ว ว่ามีความซื่อสัตย์ มีความตั้งใจ มีความละเอียดรอบคอบที่เขาไว้ใจได้ เพราะทุกสองอาทิตย์ยูต้องไปเบิกเงินครึ่งล้านบาท แม้มีตำรวจถือปืนกลนั่งไปด้วย แต่เขาก็ต้องตรวจประวัติจนกว่าเขาจะไว้วางใจงานนี้ จำไว้อย่าทำอีก อย่าทำให้หัวหน้าผิดหวังนะ และดีแล้วที่ยูมาบอกไอ โอเคเลย ดีมาก
ครับ ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน คือ คำสอนที่คุณแม่ผมสอนมาตลอดชีวิต ตั้งแต่เด็ก เรามาจากครอบครัวยากจนสุดขีด หาเช้ากินค่ำ คุณแม่ทำงานหนัก นั่งอยู่กับจักรเย็บผ้าทั้งวัน แต่เราก็ไม่เคยขอใครกิน ไม่เคยเบียดเบียนใคร แล้วเราก็ดีขึ้นมาตลอด เมื่อผมมาทำงานก็ยึดคำสอนแม่มาตลอด จนได้ดิบได้ดี ได้ทำงานองค์กรฝรั่งที่ใคร ๆ ก็อยากเข้า และได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้าสนับสนุนมาตลอด
จากองค์การยูซอม ผมก็ย้ายไปอยู่องค์กรฝรั่งอีกหลายแห่งแต่ไม่ได้ทำงานเกี่ยวข้องกับการเงินอีกเลย เพราะจบปริญญาแล้วพลิกอาชีพไปเป็นมือ ครีเอธีฟ ทำงานด้านโฆษณา แม้ตอนถูกชวนให้ไปอยู่เครือซิเมนต์ไทยในยุคพลิกโฉม ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเงินโดยตรงอย่างไร แต่ก็ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตหนักเข้าไปอีก เพราะเป็นองค์กรที่มีระบบและความเป็นระเบียบที่เนี๊ยบ จะซื้ออะไรประมูลอะไร เจ้านายก็สอนเช้าสอนเย็นเรื่องความซื่อสัตย์นี่แหละแถมยังทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีอีก ถือเป็นโชคในชีวิต
ที่เล่ามานี้ไม่ได้คิดจะอวดอ้างอะไรหรอก เพียงแต่รู้สึกโชคดีที่ชีวิตได้ใกล้ชิดอยู่กับผู้ใหญ่ที่ดี ไม่ว่าจะเป็นคุณอายุส อิศรเสนา คุณจรัส ชูโต คุณอมเรศ ศิลาอ่อน ฯลฯ ทุกท่านก็สอนแต่ในเรื่องที่ดี ความมีสัจจะ ความมีระเบียบวินัย ความรักและซื่อสัตย์ต่อองค์กร การทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้เราชื่นชมและเลียนแบบ แต่นี่คงจะเป็นผลแห่งบุญเก่าที่เราสร้างไว้
จากนั้นเมื่อไปทำหน้าที่กรรมการผู้จัดการบริษัทสปาแอดเวอร์ไทซิ่ง คราวนี้เกี่ยวกับเรื่องการเงินแน่นอน เพราะต้องซิ้อรายการ ซื้อมีเดีย นับร้อยล้านบาท มีอำนาจสั่งการเต็ม แต่ก็ได้ทำหน้าที่อย่างดีจนได้รับความไว้วางใจ ให้ปรับขึ้นไปเป็น ผู้อำนวยการตลาด บริษัทโอสถสภาฯ ซึ่งมีอำนาจสั่งการได้มากมาย แต่ก็ยึดหลัก “อยู่ให้เขารัก จากให้เขาเสียดาย” ตลอด แม้สุดท้ายย้ายไปเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทพรีเมียร์มาร์เก็ตติ้ง สิ่งที่ยากที่สุดคือ เรื่องเงินเรื่องทองทุกบาททุกสตางค์ ไม่เคยแตะต้อง ขอลูกหลานของเจ้าของบริษัทมาคอยดูแลใกล้ชิด ช่วยตัดสินใจด้วยกันในเรื่องสำคัญ ทำงานด้วยกัน คิดด้วยกัน ใช้หลัก “โปร่งใส” ตลอด สุดท้ายเวลาจะสั่งซื้อพรีเมียมหรือของแจกนับสิบล้านบาท เขาก็ไม่เคยข้องใจ เพราะหลักการกฎเหล็กคือ “กลัวบาป ละอายบาป”
ใช่ครับ เข้าใจแล้วครับ ทำไมธรรมะที่สำคัญที่สุด จนได้ชื่อว่า เป็นธรรมะคุ้มครองโลก คือ หิริ โอตตัปปะ ความกลัวบาป ละอายบาป ซึ่งวันนี้นอกจากไม่มีใครสอน แต่ยังทำตัวอย่างในทางที่ผิดจนกลายเป็นค่านิยมใหม่ของนักการเมืองไทย ข้าราชการไทย และนักธุรกิจบางกลุ่ม
เมื่อตอนที่ไปหุ้นกับอากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ซึ่งมาตามตื๊อให้ผมไปเป็นหุ้นส่วนกับแกรมมี่ยุคก่อตั้ง ชวนให้ผมลาออกจากกลุ่มโอสถสภาฯไปเป็นเถ้าแก่ตั้งบริษัทการตลาดวงการเทป อากู๋ก็บอกกับผมชัดเจน ผมแทงคุณมานิต เบอร์เดียว ถ้าคุณมานิต เอาด้วย เราก็ตั้งบริษัทกันเลย เพราะผมโดนโกงเทป กับเจอเทปปลอมจนทนไม่ไหวแล้ว จากนั้นก็เกิดบริษัท MGA ในเครือแกรมมี่ยุคแรก ปรากฏว่าเงินทุกบาทของแกรมมี่จะต้องผ่านผมหมด เทปทุกตลับ ผมเข้าใจแล้ว ถ้าจะคิดโกงก็คงไม่ยาก เพราะพนักงานทั้งหมดเป็นคนของผมขึ้นกับผมหมด ผมจะบอกตัวเลขเท่าไร เขาก็เช็คไม่ได้ ผมถึงหยอกพี่เต๋อ (เรวัต พุทธินันท์)กับอากู๋เล่นๆ ว่า ความจริง ค่าไม่โกงนี่แพงนะ แต่จริง ๆ ผมก็ได้รับส่วนแบ่งที่เป็นธรรม ก็ไม่จำเป็นต้องโกงแต่อย่างใด เพราะนี่คือคำตอบที่คุณไพบูลย์บอกว่า ผมแทงคุณมานิตเบอร์เดียว ก็อยู่ตรงนี้เอง แม้วันหลังจะจับมือ Golden Shake Hand ก็จากกันด้วยดี ต่างฝ่ายต่างก็ Win-win
จะสังเกตว่า โอกาสที่คนเราจะคิดโกงนี้เกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกนาที ทุกวัน ถ้าใครห้ามใจไม่อยู่ คิดรวยเร็ว รวยลัด ลงทุนต่ำ กำไรสูงอย่างที่ว่า ในที่สุดก็จะกลายเป็นนิส้ยติดตัว แต่ถ้าคนเรามีหลักดีประจำต้ว ไม่เพียงแต่คนรอบข้าง คุณพ่อ คุณแม่ ญาติผู้ใหญ่ เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย หลวงพ่อ ถ้าเราโชคดีได้อยู่กับคนดี ๆ ก็จะซึมซับสิ่งเหล่านี้จนกลายเป็นจิตวิญญาณติดตัวไปจนตาย
ครับ ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน ภาษิตนี้วันนี้หายไปจากเมืองไทยนานแล้ว ยุคก่อนนี้ข้าราชการไทยไม่เคยโกง รับราชการด้วยความซื่อสัตย์ ถือเกียรติยิ่งกว่าชีวิต ข้าราชการผู้ใหญ่ในอดีตล้วนเป็นต้วอย่างแห่งกระทำคุณงามความดี ได้ตำแหน่ง เหรียญตราเป็นรางวัล มีชีวิตสมถะพอเพียง ใครดูละครโบราณจะเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ดี วันนี้สิ่งเหล่านี้หายไปหมดแล้ว
“ด้านได้ อายอด” คือ ภาษิตใหม่ของคนไทยยุคใหม่ “คุณไม่ทำ คนอื่นเขาก็ทำ” “แล้วเราจะโง่ทำไม” คำว่า “เงินทอน” เป็นภาษาของนักคอรัปชั่นรุ่นใหม่ คำว่า “ตามน้ำ” ถือเป็นพฤติกรรมปกติ ผมผ่านมากี่กระทรวงก็เบื่อหน่ายก็พฤติกรรมซ้ำซากเหล่านี้ ทั้งที่คนดีๆ ก็ยังมีมากมายแต่ก็จะสู้แรงเบียดของพวกนี้ไม่ได้หรอก
วันนี้ประเทศไทยติดอันดับ ๘๐ ของประเทศที่คอรัปชั่นน้อย แปลว่าอยู่ประมาณเกือบครึ่งล่าง ของตาราง ๑๘๐ ประเทศ จากการจัดอันดับของ TI หรือ Transparency International องค์กร NGO ก็แปลว่า มีคอรัปชั่นมากมาย แต่หลายคนก็อาจสบายใจเพราะคิดว่ายังดีกว่าเพื่อนบ้านอาเชียน คือ เวียตนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เขมร และอันดับบ๊วย ของโลก คือ พม่า แต่ไม่ต้องเทียบอารยประเทศ เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ หรือประเทศในยุโรปกับสหรัฐ ซึ่งอยู่แถวหน้าของโลก แม้กระทั่งมาเลเซีย เพื่อนบ้านของเราก็มีคอรัปชั่นน้อยกว่าเราเยอะ แต่จะเก่งแบบสิงคโปร์ ทำได้ยังไง อันนี้ผมก็จนด้วยเกล้า ผมว่าอยู่ที่ผู้นำ ทำไมประเทศเขาโชคดีกว่าเรานะ ประเทศกระจิ๋วเดียว
ในเมืองไทย ใครอยากรู้เรื่องนี้ ผมไม่ต้องอธิบาย กด Google ไปที่คำว่า “คอรัปชั่น” ก็จะพบข้อเขียนมากมาย ทั้งคำบรรยายของผู้ใหญ่ที่น่านับถือ ทั้งงานวิจัย ทั้งรายงานมากมาย อ่านไม่ไหว แต่สรุปแล้ว ทุกคนก็ยอมรับว่า “แก้ยาก หรือ แก้ไม่ได้แล้ว”
หลายคนโทษไปที่การศึกษาอบรม หลายคนสรุปไปที่ระบบราชการ หลายคนสรุปไปที่กลุ่มบุคคลที่เป็นตัวอย่างของความเลว เช่น นักการเมือง ข้าราชการระดับสูง หลายคนสรุปไปที่สภาพสังคม กับการสั่งสอนเรื่องจริยธรรม คุณธรรม หลายคนสรุปว่า มันเกิดตั้งแต่การอบรมเด็กในครอบครัว
ครับ สรุปแล้ว มีแต่ “Know” ไม่มี “How” ไม่รู้ว่าจะแก้อย่างไร ก็พูดอย่างนี้มานับสิบปี พูดกันจนเบื่อ ตั้งขบวนการต่อต้านคอรัปชั่น มากมาย แต่เอาจริง ๆ ก็ไม่มีใครกล้าเอากระดิ่งไปผูกคอแมวกันสักคน เพราะบางคนบอกว่า “พูดดีเป็นศรีแก่ปาก แต่พูดมาก(หรือพูดตรงเกินไป) ปากจะเป็นสี” ผมสรุปเอง มันเป็นเรื่อง “สันดาน” นี่เอง ไม่ต้องไปหา ใครมีสันดานดี ก็คงไม่ทำ ใครมีสันดานติดตัวมาอย่างไร ไปไหนก็ตามไปโกงเขาวันยังค่ำ หนักที่สุดก็อยู่ที่ตัว “ผู้นำ” ทุกแห่ง ทุกองค์กร ที่ว่า หัวไม่ส่ายหางไม่กระดิก ตอนนี้เลยกระดิกกันทั้งตัวเลยครับ กระดิกกันทั้งประเทศเลยครับ
แม้ผมว่าที่แบ่งสีตีกันด่ากันทุกวันนี้ “ไม่ว่าจะเป็นสีไหน” ก็แก้ไม่ได้หรอกครับ เพราะเรื่องนี้ผู้ทำตัวเป็นผู้นำก็ “ดีแต่พูด” กับ “ดีแต่โม้” พอกัน ไม่เห็นเอาจริงเรื่องนี้สักราย เพราะความโลภและหลงอำนาจไม่เข้าใครออกใคร ก็คนใกล้ตัวที่แต่งตั้งไปนั่นแหละ เรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวมันเป็นจิตฝังลึกอยู่ใน “สันดาน” ขุดยาก เรื่องผลประโยชน์ของชาติเป็นแค่ราคาคุยสร้างภาพให้ดูดี หลายคนบอกว่าตัวไม่ได้ทำแต่ไม่ได้บอกว่าห้ามคนใกล้ชิดทำ เล่นกันจนเป็นขบวนการโจ๋งครึ่ม ผู้นำก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่
เพราะทฤษฎีที่ผมเรียนรู้จากบรรยายสามก๊ก คือ คนทุกคน ซื้อได้หมด บางคนถมเงินแค่หน้า แข้งก็เสร็จ บางคนต้องสูงถึงหัวเขา บางคนอาจต้องสูงถึงเอว บางคนพอเสนอให้สูงท่วมตัว ที่บอกว่าไม่เอาๆ ใจก็อ่อนปวกเปียก ฯลฯ มิน่า...ผมถึงไม่กล้าเป็นนักการเมือง เพราะกลัวใจตัวเองเหมือนก้น น้ำหยดลงหิน หินยังกร่อนได้ ถ้าเป็นเข้าจริงๆ ไปว่าเขาอิเหนาอาจเป็นเอง เห็นมาเยอะแล้ว
บรื๋อ..อ..คิดแล้วหนาวครับ ไม่เอาดีกว่า สู้อยู่อย่างคนธรรมดา มีน้อยใช้น้อย แต่ชีวิตมีความสุขใจสงบอย่างนี้ ใส่เสื้อยืดรองเท้าแตะเดินช้อปปิ้งสบายๆ ไม่มีใครรู้จัก พอแล้วครับ ไม่ต้องอยู่คฤหาสถ์ร้อยล้าน ขับเฟอรารี่ พอร์ช หรือ แลมโบกินี่ เหมือนเขาหรอกครับ
ขอบคุณ อ.มานิต รัตนสุวรรณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น