จาก REDPOWER ฉบับ 25 เดือน เมษายน 55โดย กองบรรณาธิการ
พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ อดีตเลขาหัวหน้าคณะปฏิวัติ พลเอกฉลาด หิรัญศิริ ตั้งคำถามพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์เมื่อ 21มีนาคม 2555 จนพลเอกสนธิจนแต้มและตอบคำถามด้วยการไม่ตอบแต่หลังจากนั้นพลตรีสนั่นยังกล่าวตอกย้ำอีกเมื่อ 23 มีนาคม 2555 โดย กล่าวปราศรัยในงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2555 ครั้งที่ 1 ของพรรคฯ ที่โรงแรมกรุงศรีริเวอร์ จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า
"ผมงง ว่าท่าน พล.อ.สนธิ (บุญยรัตกลิน) นักปฏิวัติ ห้ำหั่นกับอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร แต่วันนี้กลับมาปรองดอง โดยประเด็นสำคัญคือ เห็นด้วยกับการวิจัยที่จะยกเลิก คตส. ผมก็งง จึงตั้งคำถามไปยัง พล.อ.สนธิ เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าใครอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ เพื่อให้สังคมคลายความสงสัย ผมไม่ได้คิดร้ายกับท่านสนธิเลยส่วนคำถามผมก็ตอบง่ายๆ ว่า ใช่ หรือไม่ใช่ เพราะผมเชื่อว่าหากคนที่อยู่ในสถานการณ์ พูดความจริงแล้ว จะทำให้ความปรองดองเดินหน้า แต่คำถามนี้ท่านสนธิไม่ตอบ ไม่เป็นไร แต่ผมมองว่าถ้าปล่อยไปอย่างนี้ไม่เกิดความปรองดองจะเกิดวิกฤตที่รุนแรงกว่าเดิมแน่นอน...คณะรัฐประหารเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและมีภาพพลเอกเปรมนั้น ตนจึงถามว่าพลเอกเปรมพา คมช.เข้าเฝ้าฯหรือไม่หรือตามไปภายหลัง ตนจึงถามพลเอกสนธิตรงนี้ มันเป็นเรื่องสำคัญเพราะประชาชนอยากรู้ แต่เป็นสิ่งที่พลเอกสนธิไม่ตอบ"
ข่าวคำถาม – ตอบ ระหว่างพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ กับ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ได้กลายเป็นข่าวใหญ่ระดับโลก
ทำไมโลกจึงสนใจการรัฐประหารของไทยเมื่อ 19 กันยายน 2549 ทั้งๆที่ประเทศไทยผ่านการทำรัฐประหารมามากกว่า 20 ครั้งแล้วในรอบ 80 ปี ?
เพราะการรัฐประหาร 19 กันยา มีลักษณะพิเศษที่จะบอกการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างสังคมการเมืองไทยครั้งใหญ่ด้วยปรากฏการณ์ดังนี้
1.เป็นการรัฐประหารครั้งแรกที่มีความพัวพันกับผู้ดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรี ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของตัวพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในขณะที่ท่านดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรี เริ่มจากการเดินสายปราศรัยกับนักเรียนนายร้อยทั้ง 3 เหล่าทัพ และด้วยวลีที่บ่งบอกความหมายการเปิดไฟเขียวให้กระทำการรัฐประหารได้ด้วยคำว่า “ม้าไม่ใช่ของจ๊อกกี๊ จ๊อกกี๊ไม่ใช่เจ้าของม้า” รวมทั้งการปรากฏภาพพลเอกเปรมร่วมกับผู้นำเหล่าทัพในฐานะแกนนำคณะรัฐประหารที่เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในกลางดึกของคืนวันทำการรัฐประหารและเมื่อกระทำการรัฐประหารแล้วบรรดานายทหารทั้ง 3 เหล่าทัพและข้าราชการสายลูกป๋าเกือบทั้งหมดก็เข้าไปอยู่ในตำแหน่งทางการเมืองต่างๆตั้งแต่คนเทกระโถนจนถึงลูกป๋าที่ใกล้ชิดคือ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี , ลูกป๋าอย่างนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ขึ้นเป็นประธานสภานิติบัญญัติ และนายประสงค์ สุ่นศิริ เป็นประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ
2.เป็นการรัฐประหารครั้งแรกที่ดึงกลไกและบุคลากรของระบบตุลาการมาใช้งานทั้งระบบโดยเข้าไปอยู่ในกลไกอำนาจตั้งแต่เป็นผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญเข้าไปเป็นคณะกรรมการในองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ และทำการตัดสินลงโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และบรรดานักการเมืองและประชาชนนักเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายเสื้อแดงที่แตกต่างกับการเคลื่อนไหวและการกระทำการที่ผิดกฎหมายของฝ่ายเสื้อเหลืองอย่างแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่การขอประกันตัวจนถึงการตัดสินลงโทษทั้งยุบพรรคและตัดสิทธินักการเมือง จนมีที่มาแห่งคำว่า “ตุลาการภิวัฒน์” และ”สองมาตรฐาน” เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์การเมืองไทย
3.เป็นการรัฐประหารครั้งแรกที่ใช้กลไกของระบบพรรคการเมือง สื่อมวลชน และ ระบบราชการทั้งระบบเข้ามาขับเคลื่อนเพื่อทำลายทักษิณและประชาชนที่ผู้ทำการยึดอำนาจประณามใส่ร้ายว่าเป็นผู้ไม่จงรักภักดีและเป็นศัตรูต่อราชบัลลังก์
4.เป็นการรัฐประหารครั้งแรกที่ลงทุนสูงที่สุดเพื่อรักษาอำนาจและเป้าหมายของผู้กระทำการรัฐประหารที่กระทำอย่างยืดเยื้อยาวนานตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 จนถึงปัจจุบัน ด้วยการยึดสนามบิน ยึดทำเนียบรัฐบาล และการเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดร้าย ในกรณีสังหารหมู่ประชาชนจากผ่านฟ้าถึงราชประสงค์และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะจบสิ้นลงเมื่อไร
ดังนั้นข่าวคำถาม – ตอบ ของเสธ.หนั่นและบิ๊กบัง ด้วยถ้อยคำที่มีความหมายอย่างมีเงื่อนงำถึงตัวบุคคลผู้อยู่เบื้องหลังการสั่งการให้พลเอกสนธิ ทำการรัฐประหารทำให้พลเอกเปรม ดิ้นไม่หลุดจากตรรกะทางการเมืองของการทำอาชญากรรมทางการเมืองจนส่งผลให้บ้านเมืองเสียหายอย่างยิ่ง และเกิดความแตกแยกกันอย่างยิ่งอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
ว่ากันตามความเป็นจริงแล้วมีผู้เขียนบทความแสดงความคิดเห็นกันอย่างมากมายในรอบ 5 ปีกว่าที่ผ่านมานี้ โดยสร้างระบบเหตุผลจากการต่อเชื่อมปรากฏการณ์ทางการเมืองจากหลายรูปธรรมจนเชื่อได้อย่างมีเหตุผลแล้วว่า พลเอกสนธิ มิใช่หัวหน้าคณะปฏิวัติตัวจริง และรู้อย่างปราศจากข้อสงสัยด้วยระบบเหตุผลแล้วว่า ใครคือหัวหน้าคณะรัฐประหารตัวจริงเพียงแต่คำสารภาพจากพยานบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นที่ยังไม่ยอมออกมาพูดก็พอดีพลเอกสนธิได้ตอบคำถามชนิดตอบสดและขาดการตระเตรียม ด้วยการยิงตรงคำถามของเสธ.หนั่น ที่กระทำการตระเตรียมคำถามมาจากบ้านด้วยเป้าหมายทางการเมืองที่แอบแฝงทุกอย่างที่สงสัยและติดตามวิเคราะห์กันมาตลอด 5 ปีเศษผู้ฟังอย่างเราจึงถึงบางอ้อ
Red Power ก็เป็นหนึ่งในผู้สนใจและติดตามแสวงหารูปธรรมเพื่อหาคำตอบมาโดยตลอดและวันนี้ก็เป็นความภาคภูมิใจของหนังสือพิมพ์ฉบับเล็กๆที่รู้ความจริงจากการวิเคราะห์ก่อนที่ พลเอกสนธิ จะสารภาพ ปรากฏหลักฐานจากบทวิเคราะห์ของกองบรรณาธิการฉบับครบรอบ 5 ปี การรัฐประหาร ด้วยพาดหัวหน้าปกว่า “5 ปี การรัฐประหาร ปัญหามิใช่อยู่ที่ทักษิณ แต่อยู่ที่...........?” (แฟนคลับคอการเมืองไปหาซื้อย้อนหลังได้จากท้องตลาดมืด ฉบับลงวันที่ 20 ประจำเดือน ตุลาคม 2554)
ฉบับนี้ยังมีบทความจากผู้ใช้นามปากกาว่านายทหารเอกกรุงธน ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์และนักเขียนประจำ Red Power ที่ตีพิมพ์ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ Thai E-newsเรื่อง เสียงครวญสดศรี ชี้บอกว่า “ตุลาการวิบัติ” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ก่อนที่พลเอกสนธิ จะสารภาพ และเพื่อความสะดวก กองบรรณาธิการจึงคัดมาตีพิมพ์ใน Red Power ฉบับนี้ด้วย
การออกมาให้สัมภาษณ์แก้ตัวของบรรดาลูกป๋าและอดีตลูกป๋าเช่น พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร พลเอกบัญชร ชวาลศิลป์ และอีกมากมายนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นการตอกย้ำความจริงด้วยถ้อยคำปฏิเสธที่ไร้น้ำหนักแห่งเหตุผลทั้งสิ้น ซึ่งแทนที่จะเป็นผลประโยชน์ต่อพลเอกเปรมกลับส่งผลในทางตรงกันข้าม
วันนี้สำหรับพลเอกเปรมในวัยเกินกว่า 90 ปี และกำลังย่างเข้าหลัก 100 นี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเข้าสู่หลักธรรมคำสอนของท่านพุทธทาสเพื่อเข้าสู่นิพพานโดยง่ายด้วยคำว่า “ตายก่อนตาย” เสียเถิด
กรณีรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นเวรกรรมของผู้ใช้พลเอกสนธิเองโดยไม่รู้ว่านายทหารผู้นี้มีความสับสนในระบบคิดเกี่ยวกับความจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์อย่างยิ่ง